Colla500Plus...จัดว่าดี
Colla 500 Plus คอลลาเจน ผสมสารสกัดจากเมล็ดองุ่นขาว วิตามินซี และอี
เคยไหม อ่านหนังสือ นอนดึก งานหนักจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ต้องแต่งหน้า และเจอกับมลภาวะต่างๆ รวมถึง อายุที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้ผิวโทรม เกิดริ้วรอยบนใบหน้า ทาครีมช่วยก็ไม่เห็นผล
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “คอลลาเจน” กันมาไม่น้อย โดยเฉพาะเวลาพูดถึงเรื่องสุขภาพและผิวพรรณ เพราะเป็นสิ่งที่หลายคนนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกๆ เมื่อรู้สึกว่าสุขภาพผิวนั้นแย่ลง
ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายอย่างที่มีการผสมคอลลาเจน จะเคลมว่าสามารถช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยใส เด้ง กระชับ เช่น ผลิตภัณฑ์เวชสำอางอย่าง ครีมบำรุงผิว สบู่ แผ่นมาสก์หน้า เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่การทาครีมเหล่านี้มักช่วยในส่วนของผิวชั้นนอก และไม่สามารถซึมลึกเข้าถึงผิวหนังชั้นในได้ ทำให้ไม่สามารถฟื้นฟูผิวชั้นลึกที่เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นตอทำให้เกิดริ้วรอย และความหย่อนคล้อยของผิวได้
วิธีง่ายๆ เพื่อสังเกตว่าร่างกายขาดคอลลาเจน และผลเสียของการขาดคอลลาเจน- ผิวแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื้น ดูหยาบกระด้าง มีริ้วรอย เหี่ยวย่น ดูแก่ก่อนวัย
- ผมขาด และหลุดร่วงง่าย
- เกิดเซลลูไลท์ หรือผิวส้ม จากการที่ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น เพราะคอลลาเจนลดลง ชั้นไขมันใต้ผิวหนังจะดันเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านบน ทำให้เกิดรอยบุ๋ม หรือเป็นก้อน
- เกิดข้อเสื่อม จากการสูญเสียคอลลาเจนในบริเวณข้อ ทำให้กระดูกเสียดสีกันขณะเคลื่อนไหว จึงเกิดอาการเจ็บหรือปวดข้อต่อ
- ปวดกล้ามเนื้อ เพราะคอลลาเจนมีอยู่ในเนื้อเยื่อซึ่งเชื่อมต่อกับเอ็นและกล้ามเนื้อ ถ้าหากคอลลาเจนหมดไปจะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่ดี เพราะหากคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของผนังหลอดเลือดเสื่อมสภาพ ร่างกายจะไม่สามารถควบคุมการไหลเวียนของเลือดให้เป็นไปตามปกติได้ จึงทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก เวียนศีรษะอ่อนเพลียและปวดหัวบ่อยๆ
คอลลาเจน ชะลอความแก่ แก้ผิวโทรม ทางเลือกสำหรับดูแลสุขภาพผิวจากภายในสู่ภายนอกทำความรู้จัก คอลลาเจนคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร?บทความเกี่ยวกับสุขภาพ จาก ภญ.ภิชาญดา จงนวรชัย คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลได้อธิบายไว้ว่า “คอลลาเจน” คือ เส้นใยโปรตีนชนิดหนึ่ง เป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนัง ขน และเส้นผม ช่วยทำให้ผิวหนังคงความเต่งตึง ยืดหยุ่น เรียบเนียน กระชับ อีกทั้งยังเป็นองค์ประกอบของกระดูก กระดูกอ่อน จึงมีการนำคอลลาเจนไปใช้ใน คนไข้โรคข้อเข่าเสื่อม และในคนที่มีภาวะกระดูกบาง กระดูกเปราะ
ร่างกายของคนเราจะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบอยู่ประมาณ 75% ซึ่งโปรตีนคอลลาเจนนี้ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่พออายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป ความสามารถในการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย ก็จะลดลงไปตามวัย รวมถึงผู้ที่มีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพหรือถูกทำลายได้ง่าย เช่น ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ผู้ที่มีความเครียด ผู้ที่สูบบุหรี่ จึงได้รับคอลลาเจนที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น ไม่เรียบเนียนและเกิดริ้วรอย รวมถึงกระดูกอ่อนเสื่อมสภาพ และเป็นโรคข้อเสื่อมได้
คอลลาเจนมีด้วยกัน 4 ชนิด คือ- คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I) พบมากในผิวหนัง เส้นผม เล็บ อวัยวะต่างๆ กระดูก เส้นเอ็นถึง 90% จึงเป็นคอลลาเจนที่ดีต่อผิวหนัง เหมาะกับการรับประทานเพื่อความงาม
- คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II) พบมากในกระดูกอ่อนและข้อต่อต่างๆ จะช่วยให้กระดูกอ่อนดักการสะสมโปรตีโอไกลแคน (Proteoglycan) และให้ความทนแรงดึงต่อเนื้อเยื่อ
- คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Collagen Type III) มักพบในเส้นเลือด
- คอลลาเจนชนิดที่ 4 (Collagen Type IV) เป็นคอลลาเจนที่มีลักษณะเฉพาะตัว พบได้บริเวณเส้นใยฝอยของเนื้อเยื่อแผ่นบางๆ บริเวณนอกเซลล์
ประโยชน์ของคอลลาเจนคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบของกระดูก กระดูกอ่อน เส้นผม เล็บ เนื้อเยื่ออวัยวะต่างๆ และมีคุณสมบัติช่วยสร้างความยืดหยุ่น ความชุ่มชื่นให้แก่ผิวหนัง สำหรับประโยชน์อันโดดเด่นของคอลลาเจนก็คือ จะช่วยเติมเต็มผิวที่หย่อนคล้อยในเรียบตึง ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ เปล่งปลั่ง เรียบเนียน แลดูอ่อนกว่าวัย และยังสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวที่ได้รับความร้อนหรือรังสี UV จนมีสภาพผิวไหม้เสียจากแดดได้ด้วย
คอลลาเจน หาได้จากที่ไหนบ้าง?- ร่างกายสามารถสร้างได้เอง ในวัยเด็กจนถึงช่วงอายุประมาณ 20 ปีปลายๆ ร่างกายของคนเราสามารถสร้างสารประกอบในผิวหนัง เช่น คอลลาเจน อีลาสติน ไฮยาลูโรนิค-แอซิด ขึ้นมาได้เอง ซึ่งร่างกายแต่ละคนจะสร้างคอลลาเจนออกมาได้ไม่เท่ากัน ส่วนหนึ่งมาจากพันธุกรรมหรือยีน ซึ่งได้จากบรรพบุรุษ อาจจะเห็นได้จากลักษณะของครอบครัวนั้นๆ บางครอบครัวก็ดูแก่เร็วทั้งบ้าน บางครอบครัวก็ดูแก่ช้าทั้งบ้าน อีกส่วนหนึ่งมาจากการดูแลร่างกายให้แข็งแรง การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ ทำให้คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะดูเด็กและอ่อนเยาว์
- ได้รับจากอาหารทั่วไป จำพวกเนื้อสัตว์ ผักผลไม้บางชนิดปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู สาหร่ายทะเล เห็ดบางชนิด ไข่ไก่ ผักใบเขียว เช่น ผักโขม ผักปวยเล้ง คะน้า บล็อคโคลี่ เป็นต้น
- ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจน เหมาะสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ การทานอาหารไม่ค่อยดี และรู้ตัวว่าในแต่ละวันได้รับคอลลาเจนน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการแน่ๆ ต้องหารตัวช่วยจากอาหารเสริมคอลลาเจนมารับประทาน ส่วนใหญ่ที่พบตามท้องตลาดมักมาจากหนังปลา เกล็ดปลา หนังวัว หนังหมู กระดูกวัว เป็นต้น
คอลลาเจนที่เหมาะต่อการดูแลผิวคอลลาเจนชนิดที่ 1 พบได้ในทุกส่วนในร่างกาย เป็นส่วนประกอบสำคัญในโครงสร้างผิวหนังถึง 90% และเป็นคอลลาเจนชนิดที่ร่างกายใช้มากที่สุด โดยอาหารที่มีคอลลาเจนสูงส่วนใหญ่มักพบในปลาทะเล ซึ่งปลาทะเลมีคอลลาเจนสูงในเกือบทุกชิ้นส่วน แต่ละส่วนที่มีคอลลาเจนสูงที่สุดคือ หนังปลา คอลลาเจนจากปลาทะเลจึงเป็นแหล่งคอลลาเจนจากสัตว์ที่ดีที่สุด เพราะปริมาณคอลลาเจนชนิดที่ 1 สูง และง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพราะมีโมเลกุลขนาดเล็กที่สุด และมีน้ำหนักเบาที่สุด จึงสามารถย่อยง่าย ทำให้ร่างกายนำไปใช้ได้เร็วกว่าคอลลาเจนจากแหล่งอื่น และยังเข้าสู่กระแสเลือดได้รวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับคอลลาเจนที่สกัดจากชนิดอื่น
นอกจากนี้คอลลาเจนชนิดที่ 1 ที่ได้จากปลาทะเลยังอุดมไปด้วยกรดอะมิโน ไกลซีน และโพรลีน ซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้างความแข็งแรงให้ DNA และ RNA ของร่างกาย ช่วยยับยั้งสารพิษ นำส่งอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ เพื่อให้เกิดพลังงานได้ดีขึ้น ช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย และป้องกันเซลล์ผิวถูกทำลายจากสารอนุมูลอิสระ อีกทั้งยังกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย
จริงๆ แล้วคอลลาเจนไม่ได้มีดีเพียงแค่เครื่องของผิวพรรณ แต่ยังมีความพิเศษและประโยชน์อีกมากมายที่ซ่อนอยู่
คอลลาเจนนั้นถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์ เพราะนอกจากประโยชน์ด้านการบำรุงและชะลอความเสื่อมของผิวหนังแล้วเส้นใยโปรตีนชนิดนี้ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง นั่นคือ มีการนำมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ เพื่อรักษาโรคที่เกี่ยวกับข้อต่อ กระดูก อาการเจ็บหลังการผ่าตัด ลดอาการปวดและความเสื่อมภายใน คอลลาเจนพบมากในเนื้อเยื่อกระดูกและข้อต่อของร่างกาย มีงานวิจัยยืนยันว่าคอลลาเจนถูกดูดซึมผ่านลำไส้และไปสะสมในกระดูกอ่อนได้ มีกลไลการทำงานที่ช่วยให้ผู้ที่ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับข้อต่อ เช่น ข้อเสื่อม เข่าเสื่อม และโรคเกี่ยวข้องกับกระดูกมีอาการดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บในผู้ที่ไม่ได้มีโรคข้อหรือกระดูก เช่น อาการปวดข้อหลังผ่าตัด ปวดหลังและปวดคอ
คำแนะนำเกี่ยวกับการทานคอลลาเจน เลือกอย่างไรให้ปลอดภัยกับตัวเอง- ตามคำแนะนำของของค์การอาหารและยา แนะนำว่าผู้ที่ต้องการทานคอลลาเจนเสริม สามารถทานเป็นอาหารเสริมได้ ประมาณ 5,000-7,000 มิลลิกรัม/วัน แต่ไม่ควรเกิน 10,000 มิลลิกรัม/วัน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
- ควรเลือกทานที่เป็นคอลลาเจนสายสั้น (Hydrolyzed collagen) เพราะจะทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนสายยาวโดยสังเกตที่ข้างกล่องผลิตภัณฑ์ตอนซื้อ
- ควรทานตอนท้องว่าง แล้วดื่มน้ำตามมากๆ หรือกินควบคู่กับวิตามินซี จะช่วยให้การดูดซึมดียิ่งขึ้น และวิตามินซีมีผลช่วยให้คอลลาเจนที่สร้างมีคุณภาพดีขึ้นอีกด้วย
นอกจากการทานอาหารที่มีคอลลาเจนแล้ว ควารปรับพฤติกรรมที่ช่วยรักษาคอลลาเจนในร่างกายด้วย ได้แก่ หลีกเลี่ยงแสงแดดที่ร้อนจัด หรือให้ผิวเจอแสงแดดโดยตรง หลีกเลี่ยงจากภาวะความเครียด หากิจกรรมทำคลายเครียด หากิจกรรมทำคลายเครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือกินให้ครบ 5 หมู่
สารสกัดจากเมล็ดองุ่นองุ่น ไม่เพียงแต่รับประทานเป็นอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ยังมีการนำเอาองุ่นไปทำเป็นยาอีกด้วย
ค.ศ.1970 นักชีวเคมีชาวฝรั่งเศสได้นำเอาเมล็ดองุ่นไปทำการสกัด และได้พบสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก ชื่อว่า “โอลิโกเมอริก โปรแอนโธไซยานิดินส์ (Oligomeric Proanthocyanidins) หรือ OPCs”
OPCs คืออะไร?OPCs เป็นสารสำคัญชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของไบโอฟลาโวนอยด์ มีคุณสมบัติที่สำคัญในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ประสิทธิภาพสูง และละลายน้ำได้ดี ดังนั้น จึงมีประสิทธิภาพมากในการปกป้องเซลล์ต่างๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนมูลอิสระ รวมถึงมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และมากกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า
ประโยชน์และสรรพคุณจากสารสกัดเมล็ดองุ่น- ผิว:ช่วยลดริ้วรอย ฝ้าและกระให้จางลง โดย OPCs จะช่วยต้านอนุมูลอิสระที่จะมาทำลายคอลลาเจน อิลาสติน และการผลิตเม็ดสี อันเป็นสาเหตุทำให้ผิวเสื่อมสภาพ และเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
- หัวใจและหลอดเลือด:ยับยั้งการเกาะตัวของคอเลสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือด จึงป้องกันหลอดเลือดอุดตัน เพิ่มความสามารถในการไหลเวียนโลหิต ส่งเสริมให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ไม่เปราะหรือแตกง่าย
- ดวงตา:ป้องกันการเสื่อมของดวงตา ต้อกระจก ช่วยให้สายตาปรับการมองเห็นในที่มืดได้ดี
- ภูมิแพ้:ลดอาการภูมิแพ้ OPCs มีคุณสมบัติในการต้านสารฮีสตามีน จึงช่วยลดอาการภูมิแพ้ หอบหืด
- สมอง:ป้องกันโรคสมองเสื่อมหรือ อัลไซเมอร์ โดยที่ OPCs จะเข้าไปขัดขวางการทำลายเซลล์สมองจากอนุมูลอิสระ
การทำงานของสารสกัดจากเมล็ดองุ่นในร่างกาย
สารสกัดจากเมล็อองุ่น เป็น Super antioxidant สามารถจับกับอนุมูลอิสระได้ดี ต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากได้ทุกรูปแบบ สามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว ภายใน 20-30 นาที จากนั้นจึงกระจายไปสู่อวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ และสามารถรวมตัวได้ดีกับคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของผิวหนัง หลอดเลือดและอวัยวะต่างๆ จึงทำให้เกิดเซลล์ผิวหนังแข็งแรงไม่เหี่ยวย่น หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดี ไม่เปราะหรือแตกง่าย โดยเฉพาะอวัยวะที่มีเส้นเลือดฝอยละเอียดอ่อนมากที่สุด คือ ดวงตา ซึ่ง Retina ต้องใช้เส้นเลือดหล่อเลี้ยงมาก จึงใช้ในการป้องกันการเสื่อมของดวงตา โรคจอประสาทตาเสื่อม จากโรคเบาหวาน (หลอดเลือดฝอยเสื่อมสภาพจากน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน)
เมื่อทำงานร่วมกับวิตามินซี จะทำให้คอลลาเจนทั่วร่างกายแข็งแรงขึ้น และยังช่วยป้องกันการสูญเสียวิตามินซี และวิตามินอี ช่วยลดริ้วรอย ฝ้าและกระให้จางลง โดย OPCs จะช่วยต้านอนุมูลอิสระที่มาทำลายคอลลาเจน อิลาสตินและการผลิตเม็ดสี ที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอยก่อนวัย จากคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้หลอดเลือดฝอยแข็งแรง สามารถนำสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ผิวได้ดี ดังนั้น สารสกัดจากเมล็ดองุ่น จึงช่วยให้ผิวยืดหยุ่นดี และดูสดใส มีน้ำมีนวลสวยอยู่เสมอ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด เพิ่มความแข็งแรงให้กับหลอดเลือด
ขนาดรับประทาน ถ้าหากต้องการใช้เพื่อรักษาสุขภาพ ควรเลือกใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่นประมาณวันละ 50-100 มิลลิกรัม แต่หากต้องการใช้เพื่อบำบัดโรค ควรใช้ในปริมาณวันละ 150-300 มิลลิกรัม
วิตามินซีและอี
วิตามิน C & E วิตามินเพื่อผิวสุขภาพดี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ตามปกติ และรักษาผิวพรรณให้สดใสมีหลายชนิด โดยชนิดที่คนนิยมรับประทาน คือ วิตามินซี และวิตามินอี
วิตามินซี
วิตามินซีเป็นวิตามินที่มีประโยชน์และปลอดภัยมากที่สุดชนิดหนึ่ง ในร่างกายของคนจะไม่สามารถสร้างวิตามินซีเองได้จึงต้องได้รับจากอาหาร หรือวิตามินเสริมที่มีวิตามินซีประกอบอยู่ โดยวิตามินซีนั้นสามารถละลายได้ในน้ำ เมื่อรับประทานเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะละลายและดึงเอาประโยชน์ไปใช้ หลังจากนั้นก็ถูกขับออกจากร่างกาย ในรูปแบบของการขับถ่ายภายใน 24 ชั่วโมง จึงไม่ทำให้เกิดการตกค้างภายในร่างกาย ดังนั้น วิตามินซีจึงปลอดภัย กับร่างกายและมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคหวัดได้ดี ลดอาการภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และต่อต้านสารก่อมะเร็งได้เป็นอย่างดี วิตามินซีในทางศาสตร์ชะลอวัย คนเราควรทานวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ที่จะช่วยในเรื่องภูมิต้านทานร่างกายและการบำรุงผิวพรรณ แต่สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคหวัดหรือภูมิแพ้บ่อย ควรทานวิตามินซี 2,000 มิลลิกรัมหรือมากกว่านั้น
ส่วนในด้านของผิวพรรณ วิตามินซีมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงผิวได้ เช่น ช่วยลดเลือนริ้วรอย ควบคุมคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ในเลือด ช่วยลดธาตุเหล็กให้อยู่ในระดับที่พอดีในลำไส้ เพื่อที่ร่างกายจะได้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น เพราะธาตุเหล็ก มีส่วนช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ดูเปล่งปลั่ง
วิตามินอี
วิตามินอี เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายและควรได้รับทุกวัน วิตามินอีจะละลายได้ดีในไขมัน หน้าที่สำคัญของวิตามินอีที่มีต่อร่างกาย จะช่วยในการขยายหลอดลม เป็นสารต้านไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัวและยังขยายหลอดเลือดฝอยเล็กๆ ทำให้การไหลเวียนดีขึ้น ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือดที่ผนังหลอดเลือด จึงช่วยลดการอุดตันของคอเลสเตอรอลได้ และมีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ทำให้ร่างกายสามารถขนส่งออกซิเจนได้อย่างสะดวก ส่งผลให้ร่างกายใช้ออกซิเจนได้ดีขึ้น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งการเสื่อมของเยื่อหุ้มเซลล์ และป้องกันเซลล์ถูกทำลายจากสารอนุมูลอิสระ ทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความทงคนมากขึ้นด้วย วิตามินอี ขนาดแนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 8-10 IU (1 IU = 1 mg.) โดยที่ว่าปริมาณร้อยละ 60-70 ของขนาดที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวันจะถูกขับออกจากอุจจาระ
ในส่วนประโยชน์ด้านของผิวพรรณ วิตามินอีจะมีสรรพคุณช่วยลดเลือนริ้วรอย ลบเลือนรอยไหม้จากแสงแดด และรอยแผลเป็นได้ดี เป็นไขมันดีที่เข้าไปให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลมากยิ่งขึ้น ทำให้ผิวดูมีเลือดฝาด และดูสุขภาพดีด้วยสรรพคุณที่เข้าไปทำให้ระบบไหลเวียนเลือดได้ดีขึ้น
การวิจัยพบว่าวิตามินซีและวิตามินอีเป็นตัวปกป้องผิวที่ดีเยี่ยมและยังทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันผิวไหม้จากแสงแดดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แม้ว่าวิตามินแต่ละชนิดจะทำงานเดี่ยวๆ ได้ดี แต่ก็สามารถออกฤทธิ์เสริมกันได้เป็นอย่างดี เมื่อถูกนำมาใช้รวมกัน ก็จะช่วยปกป้องผิวไหม้จากแสงแดดได้ดีอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่วิตามินตัวใดตัวหนึ่งในที่นี้อาจทำงานเดี่ยวๆ ไม่ได้ผล